เพราะการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปนัก หากเรามีการวางแผนทำธุรกิจที่ดี ซึ่งหนึ่งในตัวช่วยในการวางแผนทำธุรกิจแบบมืออาชีพที่หลายองค์กรใช้กันก็คือ Business Model Canvas ใช้รวบรวมข้อมูลสำคัญ นำมาวิเคราะห์ วางแผน และประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
การทำธุรกิจแบบมืออาชีพด้วยการใช้เครื่องมือสำหรับวางแผนทำธุรกิจอย่าง Business Model Canvas จะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีโอกาสเติบโตได้มากยิ่งขึ้น และสามารถจัดการธุรกิจได้อย่างมีระบบ ซึ่งการวางแผนกำหนดทิศทางธุรกิจจะทำให้ทุกคนในทีมมีความเข้าใจเดียวกัน สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่ก่อนจะเริ่มวางแผนธุรกิจ เรามาทำความรู้จัก Business Model Canvas กันก่อนเลย
Business Model Canvas คือ เครื่องมือที่ช่วยออกแบบโมเดลธุรกิจ ผ่านองค์ประกอบ 9 อย่าง ประกอบด้วย
1.ลูกค้า (Customer Segments—CS) ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ
2.คุณค่า (Value Propositions—VP) จุดขายของสินค้าหรือบริการ
3.ช่องทาง (Channels—CH) สื่อ แพลตฟอร์ม รูปแบบ และวิธีในการสื่อสารไปถึงลูกค้า
4.ความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationships—CR) วิธีในการรักษาลูกค้าฐานลูกค้า
5.กระแสรายได้ (Revenue Streams—RS) รายได้ของธุรกิจ
6.ทรัพยากรหลัก (Key Resources—KR) สิ่งที่ต้องมีในการดําเนินธุรกิจ
7.กิจกรรมหลัก (Key Activities—KA) กิจกรรมที่ต้องทําเพื่อให้โมเดลธุรกิจอยู่ได้
8.พันธมิตรหลัก (Key Partners—KP) ส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งการช่วยป้อนวัตถุดิบและการช่วยขาย
9.โครงสร้างต้นทุน (Cost Structure-C$) ต้นทุนทั้งหมดของธุรกิจนี้
โดยข้อมูลทั้งหมดนั้นจะถูกเขียนออกมาบนหน้ากระดาษเพียงแผ่นเดียว โมเดลนี้ถูกคิดค้นโดย Alexander Osterwalder จากมหาวิทยาลัยโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามอยู่ในใจ… แล้วเราจะเอา Business Model Canvas มาใช้วางแผนการทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร? ตามไปดูกันต่อแลยค่ะ
เมื่อได้ข้อมูลทั้งหมดบนแผนผัง Business Model Canvas แล้ว ลองจัดข้อมูลเป็นหมวดหมู่ดังต่อไปนี้
Value Propositions + Customer Segments + Customer Relationships
ในการทำธุรกิจสิ่งสำคัญอย่างแรกที่เราต้องหาให้เจอ คือ จุดเด่นของสินค้าหรือบริการของเราคืออะไร แตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร อะไรคือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าต้องเลือกสินค้าและบริการของเรา และ ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา รวมทั้งเขาต้องการอะไร จากนั้นต้องวิเคราะห์หาความต้องการของลูกค้าให้เจอ แล้วนำเสนอคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยต้องชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นและความแตกต่างของเราด้วย
เมื่อได้กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการขายของแล้ว สิ่งสำคัญลำดับต่อมาก็คือการรักษาฐานลูกค้า เพราะการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่าการหาลูกค้าใหม่ ซึ่งถ้าหากเราบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าไว้ได้ ก็จะนำไปสู่การซื้อซ้ำ และการบอกต่อ ดังนั้นต้องมีการวางแผนการดูแลหลังการขาย เช่น คอลเซ็นเตอร์ สิทธิประโยชน์ ส่วนลด ฯลฯ เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายมีความผูกพันกับแบรนด์
Channels
เพราะการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ ดังนั้น เราต้องเลือกช่องทางที่จะสื่อสารให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด โดยต้องวิเคราะห์จากพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ว่าสื่อใด แพลตฟอร์มไหน คือช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายเราใช้มากที่สุด ซึ่งการสื่อสารนั้นจะต้องสอดคล้องกันทุกๆ ช่องทาง เพื่อป้องกันผิดพลาดและความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นได้
เช่น กลุ่มลูกค้าเป็นวัยรุ่นอายุ 20-30 ปี ใช้เฟซบุ๊ก และอินสตาแกรมเป็นหลัก เราก็สามารถวางแผนทำคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความสนใจ และส่งคอนเทนต์ไปยังสองแพลตฟอร์มนี้ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้เห็นสินค้าและบริการได้อย่างตรงใจ
Key partners + Key Activities + Key resources
ในการทำธุรกิจทุกครั้ง อย่าลืมวางแผนหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เพื่อให้ทิศทางการทำงานของเรามุ่งไปในทางเดียวกัน และดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน
- เราจำเป็นต้องมีพาร์ทเนอร์ในด้านไหนบ้าง เช่น ด้านการขนส่ง ด้านการผลิต เป็นต้น
- อะไรคือหน้าที่ที่เราต้องทำบ้าง เช่น คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตรวจสอบคุณภาพสินค้า เป็นต้น
- ทรัพยากรที่สำคัญกับธุรกิจเรา ซึ่งได้แก่ คน เครื่องจักร เงินทุน ทรัพย์สินทางปัญญา ที่ดิน ฯลฯ อะไรคือสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว และอะไรที่เราต้องหามาเพิ่มเติม โดยวิเคราะห์จาก กลุ่มเป้าหมาย และคุณค่าของสินค้าและบริการที่เราจะนำเสนอแก่ลูกค้า ว่าทรัพยากรของเราจะสามารถสร้างคุณค่านั้นๆ ได้หรือไม่ อย่างไร
Revenue Stream + Cost Structure
และสิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือการคิดคำนวนเงินทุนและรายได้ โดยต้นทุนสามารถแบ่งได้หลายประเภท หากแบ่งตามวัตถุประสงค์ จะมี 2 ประเภทคือ ทุนเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษาเรื่องจักร ค่าเช่าสำนักงาน ฯลฯ และ ทุนเพื่อเพิ่มคุณค่าให้ธุรกิจ เช่น งบโฆษณา งบเช่าพื้นที่ตามห้างสรรพสินค้า งบลงข่าวประชาสัมพันธ์ ฯลฯ
และช่องทางที่นำมาซึ่งรายได้ เช่น จากค่าบริการ จากการขายสินค้า จากค่าเช่า จากค่าอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธ์เป็นต้น
เมื่อทราบจำนวนจบประมาณและรายได้แล้ว เราก็สามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้เราจะมีการวางแผนธุรกิจตามแผน Business Model Canvas แล้ว แต่อย่าลืมว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ดังนั้น อย่าลืมนำสรุปผลการดำเนินงานในแต่ละแคมเปญ เพื่อตรวจสอบว่าเราทำได้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และนำไปสู่การปรับปรุงแผนธุรกิจได้ทันสมัยและตรงกับใจลูกค้ามากขึ้น