ㅤ การแชร์สิ่งต่าง ๆ บน ‘ไทม์ไลน์ส่วนตัว’ ของตัวเราเอง ที่ทุกคนเรียกกันว่า “พื้นที่ส่วนตัว” นั้น อย่าลืมว่าพื้นที่นั้นไม่ได้ส่วนตัวอย่างที่คิดเมื่ออยู่บน ‘โซเชี่ยล’ หรือ ‘โลกออนไลน์’ อยากให้ลอง “หยุดสักนิด คิดก่อนแชร์” บางสิ่งออกไปยังโลกออนไลน์ เพราะผลกระทบของการแชร์โดยไม่คิด ที่ร้ายที่สุดก็คือ ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเอง
ㅤ ด้วยความห่วงใย เราจึงมาแนะนำถึงสิ่งที่แชร์ออกไปนั้น สามารถกลับมามีผลกระทบกับตัวเราได้อย่างไรบ้าง
ผลของการไม่หยุดคิดก่อนแชร์
1. การแชร์เบอร์โทรศัพท์ หรือที่อยู่ของเรา บนโลกโซเชี่ยล
ㅤคิดให้ดีก่อนจะเปิดเผย ชื่อ-นามสกุลจริง, วันเกิด, อายุ, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, หมายเลขบัตรประชาชน, หนังสือเดินทาง, ใบขับขี่ หรือสิ่งที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับตัวคุณ สามารถระบุตัวตนของคุณได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งต้องห้ามเปิดเผยในโลกออนไลน์ เพราะข้อมูลเหล่านี้ สามารถทำให้คุณอาจถูกแฮกได้ โดยเฉพาะการเปิดเผยที่อยู่จริง จะเป็นการบอกตำแหน่งของคุณอย่างชัดเจน และอาจเกิดอันตรายจากผู้ร้ายที่แฝงตัวอยู่ในโซเชี่ยลได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลที่สามารถแปลงออกมาเป็นตัวเลขต่าง ๆ ได้ เช่น วันเกิด เบอร์โทร หมายเลขบัตรประชาชน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักนำเลขเหล่านี้ไปตั้งเป็น Password กัน และมักเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกแฮกข้อมูลผ่านทางออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย บางรายหากมีการแชร์เบอร์โทร บอกว่าเปลี่ยนเบอร์ใหม่ แต่โดนโรคจิตโทรหา หรือมีใครโทรไปขายประกันก็มิต้องสงสัยเลยจ้า ว่าคนพวกนั้นได้เบอร์คุณมาจากไหน
ㅤถ้าคุณต้องการจะอัพเดตแจ้งเพื่อน ๆ ว่าเปลี่ยนที่อยู่/เบอร์โทรแล้ว ก็ควรส่งช่องทางส่วนตัว เฉพาะคนที่เราต้องการจะบอกให้รู้จริง ๆ จะปลอดภัยที่สุด หรือดูให้ดีก่อนว่าไม่ได้ตั้งความเป็นส่วนตัวเป็น Public ก่อนโพสต์ออกไป ส่วนถ้าใครอยากจะอวดรูปตอนไปถ่ายบัตรประชาชน หรือพาสปอร์ต ว่าหน้าฉันรอดกว่าใคร ก็ควรจะเซ็นเซอร์ส่วนที่เป็นข้อมูลส่วนตัว และบาร์โค้ด ให้ดี ๆ ก่อนจะโพสต์ออกไปด้วยจ้า เพื่อหลีกเลี่ยงมิจฉาชีพที่แฝงอยู่ในโซเชี่ยล เพราะไม่รู้ว่าใครจะเอาข้อมูลของเราไปทำอะไรบ้าง กันไว้ดีกว่าแก้ดีที่สุดนะจ๊ะ
ㅤ ㅤㅤ
2. การแชร์ตั๋วเดินทาง, ตั๋วหนัง, บัตรคอนเสิร์ต
ㅤรู้นะ ว่าอยากอวด จะโชว์ให้โลกรู้ว่าเรากำลังจะได้บิน หรือกำลังจะได้ไปดูคอนเสิร์ต/หนัง ที่โปรดปรานใช่ไหมล่ะ แต่! อย่ามัวแต่ดีใจตื่นเต้นจนลืมความปลอดภัยของตัวเองค่ะ คิดให้ดีก่อนจะแชร์ภาพ หรือข้อมูลของสิ่งเหล่านี้ออกไป ถ้าหากลงเป็นรูปภาพ ก็แนะนำให้ใส่เซ็นเซอร์หรือปิดจุดสำคัญไว้หน่อย เช่น หมายเลขที่นั่ง, เวลา, และบาร์โค้ด ที่อยู่ในหน้าตั๋วนั้น ๆ เพราะสมัยนี้มิจฉาชีพสามารถใช้โปรแกรมตรวจบาร์โค้ด แล้วสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้อย่างง่ายดาย รู้ถึงว่าใช้บัตรเครดิตชนิดใด เดินทางไปที่ไหน ชื่อ-นามสกุลที่ปรากฏบนตั๋วเครื่องบิน และยังสามารถยกเลิกตั๋วเครื่องบินเราได้อีกด้วย การแชร์หมายเลขที่นั่ง ก็ต้องระวังจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีมานั่งเป็นเพื่อนข้าง ๆ คุณ
ㅤ ㅤㅤ
3. เช็คอินสถานที่
ㅤเวลาไปเที่ยวไหน หลายคนก็อยากจะบอก อยากแชร์ให้ใครรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน ทำอะไร กับใคร แน่นอนบางคนบอกว่า เป็นการเซฟตัวเองส่วนหนึ่ง ที่บอกให้ใครรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน หรือเกิดอันตราย จะได้ตามตัวถูก แต่รู้หรือไม่ว่าอาจจะมีอันตรายรอคอยอยู่ ในรูปแบบของผู้ไม่หวังดี หรือโจร คุณอาจจะโดนสะกดรอยตาม หรือมีคนที่ดักรอจะปีนขึ้นบ้านของคุณเวลาคุณไปข้างนอกอยู่ก็ได้
ㅤถ้าอยากจะเซฟตัวเอง แนะนำให้ส่งส่วนตัวไปบอกกับคนที่คุณไว้ใจมากที่สุด หรือคนในครอบครัวก็พอ ไม่ต้องโพสต์เป็นไทม์ไลน์ทุกที่ที่ไป ถ้าอยากจะดูไทม์ไลน์ตัวเอง ก็แนะนำให้ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้ การถ่ายรูปก็สามารถบันทึกโลเคชั่นไว้ในภาพได้แล้วเหมือนกัน
ㅤถ้าอยากจะลงภาพเพื่อบันทึกหรือบอกใครว่าคุณได้ไปที่ไหนมาแล้ว ก็ให้ลงแล้วเช็คอินตามทีหลังเมื่อกลับถึงที่พักแล้วก็ได้
ㅤ ㅤㅤ
4. แชร์เรื่องส่วนตัว
ㅤการแชร์เรื่องส่วนตัวมากเกินไป จะทำให้ผู้อื่นรู้ถึงกิจวัตรประจำวันของเรา หรือรู้จักชีวิตคนรอบข้างเรามากเกินไป ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อการใช้ชีวิตทั้งของตัวเราและคนรอบข้างได้ โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาภายในบ้าน ไม่ควรที่จะให้คนนอกรับรู้ หรือมาแสดงความคิดเห็นมากจนเกินไป เช่น คุณโพสต์ว่า “พ่อติดการพนัน ทำอย่างไรดีคะ” อาจทำให้ผู้อื่นมีทัศนคติต่อคนในครอบครัวคุณไม่ดี มองว่าฐานะทางสังคมของคนในครอบครัวไม่เหมาะสม หรือคิดไปต่าง ๆ นานา ร้ายที่สุดคือคนในครอบครัวคุณอาจจะโดนข้อหา ต้องคดี หรือรับโทษ เพราะสิ่งที่คุณโพสต์ลงโซเชี่ยลก็เป็นได้
ㅤแนะนำว่าถ้าต้องการขอความคิดเห็นหรือปรึกษาปัญหาครอบครัวของคุณ ให้ปรึกษาส่วนตัวกับคนที่ไว้ใจได้ หรือโทรสายด่วนรับฟังปัญหา ดีกว่าการโพสต์ลงโซเชี่ยลนะคะ หรือแม้แต่การแชร์เรื่องส่วนตัวที่บอกถึงกิจวัตรประจำวันของเราเอง รวมถึงข้อมูลทางการเงิน ถ้าโจรรู้ว่าทุกวัน เราไปทำอะไร ที่ไหน หรือเรามีนิสัยการใช้เงินเป็นอย่างไร ก็อาจจะทำให้มีคนทักมาขอยืมเงิน หรือบางทีอาจจะตกเป็นทาสการตลาดของบางสิ่งบางอย่างได้ เช่น บ่นอ้วนบ่อย ๆ ก็จะมีคนทักมาขายคอร์สลดน้ำหนัก เป็นต้น ผลกระทบที่ร้ายแรงไปกว่านั้น คุณอาจจะโดนสวมรอยโดยมิจฉาชีพ แล้วไปหลอกคนอื่นต่ออีกทีก็เป็นได้
ㅤ ㅤㅤ
5. ทัศนคติแง่ลบ ความเชื่อ ศาสนา การเมือง และการกล่าวถึงที่ทำงาน
ㅤไม่ผิดที่คุณจะมีความคิด ความเชื่อ ความชอบ ความศรัทธาที่แตกต่างจากคนอื่น คุณสามารถแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็นได้ แต่ต้องไม่ใช่ในแง่ที่ ว่าร้าย หรือโจมตี จนเกิดการสร้างความแตกแยกจนเกินไป หรือไม่ควรแสดงทัศนคติในแง่ลบต่อผู้อื่น ซึ่งสิ่งเหล่านั้น จะแสดงออกไปถึงวุฒิภาวะทางอารมณ์ และภาพลักษณ์ที่ผู้อื่นมองคุณว่าเป็นคนอย่างไร เช่น ถ้าคุณโพสต์เรื่องดราม่า ด่าเพื่อนร่วมงาน หรือบ่นถึงการทำงานบ่อย ๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือใช้ถ้อยคำหยาบคาย จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ในที่แย่ให้กับตัวเอง อีกทั้งยังมีผลต่อการสมัครงานในอนาคตอีกด้วย กรณีที่บริษัทมีการเช็คประวัติโซเชี่ยลย้อนหลัง และถ้าหากผู้ที่ถูกกล่าวถึง หรือคนในที่ทำงานมาเห็นโพสต์ของเรา ก็อาจจะมีการเอาไปบอกต่อ และยังทำให้ผู้อื่นเกิดความเสียหายในหน้าที่การงาน หรือชื่อเสียง นอกจากนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณ เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย หรือบรรยากาศในที่ทำงาน ดูอึดอัด เลวร้ายไปกว่านั้นอาจถึงขั้นต้องมีใครถูกเชิญออก หรือต้องลาออกจากงาน
ㅤสิ่งที่ควรทำคือการมีสติ ยั้งคิด ก่อนแชร์หรือโพสต์สิ่งต่าง ๆ ให้ใช้ถ้อยคำสุภาพ หรือเน้นไปในทางชื่นชม ยินดีเวลากล่าวถึงผู้อื่น จะดีที่สุด ไม่ควรแสดงความคิดเห็นที่รุนแรง หรือแสดงทัศนคติในแง่ลบ
ㅤ ㅤㅤ
6. ข่าวปลอม หรือข่าวที่ขาดการกลั่นกรอง
ㅤ“หยุดสักนิด คิดก่อนแชร์” หยุดดูให้ดีก่อนว่าข่าวที่ลงโซเชี่ยลนั้นมีมูลความจริงมากน้อยแค่ไหน แหล่งข่าวน่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นข่าวเก่าหรือข่าวใหม่ ถ้าแชร์ออกไปแล้วใครได้ประโยชน์ ใครเสียหาย ถ้าข่าวที่แชร์ออกไปเป็นข่าวปลอม หรือไม่ได้กลั่นกรองข้อมูลให้ดีก่อน อาจจะเป็นการสร้างความตื่นตระหนก เช่น ข่าวพายุ หรือความรุนแรงทางการเมือง บางทีเป็นการแชร์ภาพข่าวเก่า แต่เขียนเนื้อหาขึ้นมาใหม่ เพื่อจุดประสงค์ในการปลุกปั่น สร้างความวุ่นวายแก่บ้านเมือง, ข่าวผู้ก่อการร้ายกราดยิง แต่มีคนไลฟ์สดแจ้งข้อมูลเหยื่อ ทำให้เหยื่อถูกทำร้าย จนถึงขั้นเสียชีวิต เป็นต้น
ㅤก่อนจะแชร์ข่าวสารต่าง ๆ ออกไป แนะนำให้อ่านข้อมูลให้ดี อย่ามองแต่หัวข้อ ให้อ่านลงไปถึงคอมเมนต์ ที่คนส่วนใหญ่พูดถึงว่าอย่างไร ถ้ามีใครเตือนมาว่าเป็นข่าวลวง ข่าวปลอม ก็แนะนำว่าให้ปล่อยผ่าน หรือกด Report โพสต์นั้นให้ออกไปจากโซเชี่ยลเลย ทางที่ดี คือหยุดคิดให้ดีเสีย ก่อนที่จะแชร์ต่อออกไป
ㅤนอกจากนี้การแชร์หรือโพสต์โดยไม่คิดก่อน อาจทำให้คุณโดนจับ หรือเสียทรัพย์ได้โดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยก็ควรศึกษา พรบ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เอาไว้บ้าง
จงอย่าลืมว่า การแชร์ คือการแบ่งปัน ให้ทุกคนรับรู้ และเห็น สิ่งที่คุณโพสต์ลงไป ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป จึงอยากให้ หยุดคิดถึงผลกระทบ โทษ หรือผลประโยชน์ที่จะได้รับหลังจากแชร์อะไรต่าง ๆ ออกไปยังโลกออนไลน์ เพราะถึงแม้คุณจะไม่ได้เปิด Public ให้ทุกคนเห็น แต่อย่างลืมว่าคนที่คุณตั้งให้เห็น ‘บางคน’ ก็ไม่ได้หวังดีกับคุณเสมอไป คนที่หวังไม่ดีเหล่านั้นยังสามารถแคปภาพหน้าจอ แล้วเอาไปพูดต่อได้อีก อันจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ตัวเราและผู้อื่นได้ จึงอยากให้ทุกคนได้ ‘หยุดสักนิด คิดก่อนแชร์’
ㅤ ㅤㅤ
ติดตาม LINE: @digitorystyle ได้เลย