Facebook Group ถือเป็นอีกช่องทางที่ได้รับความนิยม ทั้งในด้านการสื่อสารกับครอบครัว เพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัย กลุ่มคนที่มีความสนใจเหมือนกัน แม้กระทั่งการสื่อสารเชิงธุรกิจก็สามารถใช้ Facebook Group ในการทำการตลาดออนไลน์ได้เหมือนกัน
และสำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่คิดจะสร้าง Facebook Group เพื่อเป็นอีกช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า ลองมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของกลุ่มเฟซบุ๊ก เพื่อเลือกใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการ กันในบทความนี้ได้เลยค่ะ
Facebook Group คือ พื้นที่สำหรับติดต่อแลกเปลี่ยนความสนใจร่วมกันกับผู้อื่น คุณสามารถสร้างกลุ่มอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการรวมญาติในครอบครัว ทีมเล่นฟุตบอลหลังเลิกงาน หรือชมรมคนรักหนังเกาหลี ซึ่งจะมีรายละเอียดแตกต่างจาก Facebook Page และ Facebook ส่วนตัวอย่างสิ้นเชิง (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่)
โดย Facebook Group จะมี 2 รูปแบบแบ่งตามระดับความเป็นส่วนตัวของกลุ่ม
Public
คือ กลุ่มแบบสาธารณะ ที่สามารถค้นหาเจอได้ ทุกคนสามารถเห็นโพสต์และคอมเมนต์ (แต่ไม่สามารถแสดงความเห็นได้) รวมถึงดูรายชื่อสมาชิกในกลุ่มได้แม้ไม่ได้เป็นสมาชิก ข้อดีของกลุ่มสาธารณะคือสามารถค้นหาเจอได้ง่ายและสามารถเพิ่มจำนวนสมาชิกได้ง่าย
Private
คือ กลุ่มแบบส่วนตัว โดยจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
- Visible หรือ กลุ่มที่คนอื่นสามารถค้นหาเจอได้ แต่จะไม่เห็นโพสต์และคอมเมนต์ ไม่สามารถดูรายชื่อสมาชิกในกลุ่มได้ ผู้ใช้ Facebook สามารถขอเข้าร่วมกลุ่มได้
- Hidden หรือ กลุ่มที่คนอื่นไม่สามารถค้นหาเจอได้ จะเข้าร่วมเป็นสมาขิกได้ด้วยการเชิญจากสมาชิกในกลุ่มเท่านั้น
ซึ่งข้อดีของกลุ่มแบบส่วนตัว คือเราสามารถคัดกรองคนที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกได้ ทำให้ได้คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหรือมีความสนใจจริง ๆ มาเป็นสมาชิก
ดังนั้น หากอยากใช้ Facebook Group ในการทำการตลาดออนไลน์ ก็อาจจะสร้างเป็นกลุ่มสาธารณะ สำหรับคนที่ชื่นชอบหรือมีความสนใจและมีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มเป้าหมายในการซื้อสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้ และสร้างกลุ่มแบบส่วนตัว สำหรับลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าหรือบริการไปแล้ว เพื่อเป็นการดูแลหลังการขาย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสำหรับกลุ่มลูกค้าด้วยกันเองได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีกำหนดเงื่อนไขของ Facebook Group อีกว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นส่วนตัวของกลุ่มได้ โดยเมื่อเปลี่ยนแล้วจะต้องรออีก 28 วัน จึงจะสามารถเปลี่ยนความเป็นส่วนตัวได้อีกครั้ง และผู้ดูแลกลุ่มสามารถเปลี่ยนกลับเป็นประเภทเดิมได้ภายใน 24 ชั่วโมงที่กดเปลี่ยน
สำหรับกลุ่มที่มีสมาชิกน้อยกว่า 5,000 คน จะสามารถเปลี่ยนประเภทกลุ่มกลับไป-มาได้ตามปกติ ซึ่งสมาชิกทุกคนที่อยู่ในกลุ่มจะได้รับการแจ้งเตือนทุกครั้งเมื่อประเภทของกลุ่มถูกเปลี่ยน
สำหรับกลุ่มที่มีสมาชิกมากกว่า 5,000 คนขึ้นไป กลุ่มแบบ Private Visible จะไม่สามารถเปลี่ยนกลุ่มเป็นแบบ Public ได้
และกลุ่มแบบ Private Hidden สามารถเปลี่ยนกลุ่มเป็นแบบ Private Visible ได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นแบบ Public ได้
ทั้งนี้ มีบทบาทหน้าที่สำหรับการจัดการกลุ่ม 2 แบบ คือ ผู้ดูแล (Admin) ซึ่งผู้สร้างกลุ่มจะมีตำแหน่งเป็นผู้ดูแลโดยอัตโนมัติ และผู้ควบคุม (Moderater) ซึ่งจะมีอำนาจหน้าที่ในการอนุญาตการขอเข้ากลุ่ม รวมไปถึงดูแลความเป็นระเบียบในกลุ่ม โดยสามารถดูสิ่งที่แต่ละตำแหน่งสามารถทำได้ ดังตารางด้านล่าง
หลังจากนี้ เราก็สามารถสร้าง Facebook Group และกำหนดบทบาทหน้าที่ของผู้ดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่เลือกประเภทของกลุ่มให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
สำหรับใครที่สนใจอยากปรึกษาการใช้ Facebook Group ในการทำการตลาดออนไลน์ก็สามารถทักมาพูดคุยกับทีมสอน DIGITORY ได้เลยค่ะ
ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารการตลาดออนไลน์ อัพเดทเทรนด์ และโปรโมชันพิเศษ
ติดตาม LINE: @digitorystyle ได้เลย