ปัจจุบันโลกของการทำธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของไลฟ์สไตล์ เทคโนโลยี วิธีในการสื่อสาร และพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ทำให้รูปแบบของการตลาดก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน วันนี้เราจึงรวบรวมแนวโน้มการตลาดทั้ง 10 ข้อ ที่คาดว่าจะเป็นสิ่งสำคัญในปี 2022 ที่นักการตลาดและธุรกิจควรทำ
1. การจัดอีเว้นท์รูปแบบออนไลน์เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแก่การลงทุน
ผู้บริโภคในปัจจุบัน เข้าถึงและเข้าใจในเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้การจัดอีเว้นท์ในรูปแบบออนไลน์เป็นเรื่องธรรมดาและพบเห็นได้มากกว่า อีเว้นท์รูปแบบเดิมๆ อันเนื่องมาจากการที่ผู้คนในสังคมต้องเว้นระยะห่าง ซึ่งข้อดีของการจัดอีเว้นท์รูปแบบออนไลน์ ไม่เพียงแต่ได้รับประโยชน์ในเรื่องของความสะดวกสบาย แต่ยังได้ประโยชน์ในเรื่องของการเก็บและรวบรวมข้อมูล ของผู้เข้าร่วมงานได้โดยตรง ซึ่งสามารถนำข้อมูลชุดนั้น มาใช้ประโยชน์ในการทำการตลาดให้ตรงใจผู้บริโภคต่อไปได้นั่นเอง
2. การเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสาร
การที่แบรนด์ใช้ Social Media Platform ต่างๆ ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นที่นิยมและค่อนข้างจะเห็นผลในหลายๆ ครั้ง แต่ในหลายๆ ครั้ง ก็ไม่มั่นใจว่าสารนั้นส่งไปหากลุ่มเป้าหมายเราได้จริงหรือไม่ เนื่องจากมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง และไม่สามารถควบคุมอัลกอริธึมเองได้ ทำให้แบรนด์ต้องตระหนัก และหันมาทำช่องทางการสื่อสารของตัวเอง ที่สามารถส่งสารหาผู้บริโภคได้โดยตรง และควบคุมการทำงานทั้งหมดได้ด้วยตนเอง
3. สร้างภาพลักษณ์ให้แก่แบรนด์ใช้แค่เงินไม่พอ แต่ต้องใช้เวลากับมัน
ในยุคที่ภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) คือทุกสิ่ง ทุกแบรนด์พยายามสร้างภาพลักษณ์ให้กับตนเอง การทำโฆษณาออนไลน์มีคู่แข่งสูงขึ้นทุกวัน ส่งผลให้ค่าโฆษณาสูงขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการใช้เงินอย่างเดียวอาจจะไม่พอ แต่ต้องหันมาให้ความสำคัญในการสร้างสรรค์วิธีการสื่อสาร การให้ความรู้แก่ผู้บริโภค รวมถึงการสร้างคุณค่าให้แก่แบรนด์ในระยะยาว
4. เปลี่ยนจากการขายแบบ Hard-Sell เป็นการให้ความรู้อย่างจริงใจแก่ผู้บริโภค
การขายของในยุคสมัยนี้จำเป็นต้องนำเสนอในเรื่องของประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้กลับไป จากการซื้อผลิตภัณฑ์ ต้องแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะสามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ของเขาได้อย่างดี เพราะการขายแบบ Hard-Sell จะไม่ได้ผลอีกต่อไป แถมยังทำให้ลูกค้ารู้สึกกดดันและรู้สึกในเชิงลบกับแบรนด์อีกด้วย
5. คำว่า “Content is King” อาจจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป
ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจในเนื้อหาคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและให้ประโยชน์แก่เขาก็จริง แต่ในทางกลับกันคอนเทนต์ที่มีคุณภาพก็มีให้เห็น และเลือกรับชมมากมาย ซึ่งบางทีก็มีเนื้อหาที่คล้ายๆ กัน หรือแทบจะซ้ำกัน สิ่งที่นักการตลาดต้องทำคือการทำคอนเทนต์ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายที่แคบลง ทำให้ผู้รับชมเกิดความรู้สึกว่าคอนเทนต์นี้ ถูกสร้างมาเพื่อเขาจริงๆ ฟังดูอาจจะยาก แต่แน่นอนว่าต้องใช้เวลากับมัน และจะเป็นผลดีในระยะยาวต่อแบรนด์อย่างแน่นอน
6. “Personalized Marketing” มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ
Personalized Marketing หรือการทำการตลาดเฉพาะบุคคล เป็นสิ่งที่ได้ประสิทธิภาพและเห็นผลได้อย่างชัดเจน เพราะผู้บริโภคจะได้รับประสบการณ์เฉพาะบุคคล จดจำแบรนด์ อีกทั้งยังมีแนวโน้มในการตอบโต้ต่อต่อแบรนด์ที่สูงขึ้น ซึ่งสิ่งที่สำคัญในการทำการตลาดแบบนี้ คือการเข้าถึงข้อมูลและรู้จักลูกค้าของคุณได้อย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะเริ่มสื่อสารไปยังผู้บริโภคนั่นเอง
7. สร้างสรรค์ Content ไปยังกลุ่ม B2B
จากที่เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่ประเภทของ Content จะถูกสร้างสรรค์จากเจ้าของธุรกิจมายังผู้บริโภคโดยตรง หรือที่เรียกว่า B2C (Business-to-Customer) แต่ฝั่ง B2B (Business-to-Business) มักจะให้ความสำคัญกับการสื่อสารทางตรง อย่างเช่น การขายสินค้าผ่านทางโทรศัพท์ หรือติดต่อผ่านทางอีเมล แต่ปัจจุบันเจ้าของธุรกิจ หันมาหาข้อมูลทางออนไลน์มากขึ้น โดยไม่ต้องการซื้อผ่านพนักงานขาย การสร้างสรรค์ Content เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่ม B2B จึงเป็นเรื่องที่ธุรกิจไม่ควรมองข้ามเช่นกัน
8. พัฒนาความเป็น Story Teller ให้โดดเด่น
ผู้บริโภคไม่ได้สนใจแค่ว่าผลิตภัณฑ์ของเราคืออะไร ทำอะไรได้บ้าง หรือมีประโยชน์อย่างไร แต่เขาสนใจมากกว่านั้น อย่างเรื่องของความเป็นมาของผลิตภัณฑ์ มีเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจและติดตามหรือไม่ ถ้าธุรกิจสามารถเล่าและเรียบเรียงออกมาได้เป็นถ้อยคำที่สวยงาม ชวนติดตาม นี่จะเป็นวิธีการขายที่ผู้บริโภคประทับใจ และไม่รู้สึกว่ากำลังโดนขายอยู่นั่นเอง
9. Marketing Automation ช่วยให้การทำการตลาดง่ายยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมา เรามักจะพอเห็นการตลาดแบบ Automation มากขึ้น นั่นคือการที่ธุรกิจใช้ข้อมูลทั้งหมดที่เค้ามี มาวิเคราะห์ และวางแผนจนเกิดเป็นแคมเปญต่างๆ ขึ้นมา โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์แทนทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งช่วยทำให้เกิดมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นในหลายๆ ครั้ง เนื่องจากจะทำให้เกิดเป็นเวิร์กโฟลว์เป็นอัตโนมัติ และลดเวลาในการทำงานที่ซ้ำๆ อีกทั้งการตลาดแบบนี้ ยังเป็นการแบ่งกลุ่มเป้าหมายและเนื้อหา ให้เหมาะสมตามกลยุทธ์ต่างๆ ของธุรกิจได้นั่นเอง
10. คิดนอกกรอบให้ได้ ถ้าอยากโดดเด่น
สิ่งที่เคยได้ผลลัพธ์ที่ดีในอดีต อาจจะนำมาใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน หรืออาจจะแย่ลงกว่าเก่า เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคนั้น เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีวิฤกต COVID-19 ที่ทำให้พฤติกรรมนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงเป็นการบ้านของนักการตลาด ที่ควรคิดนอกกรอบ ไม่ยึดติดในการตลาดแบบเดิมๆ มองหาวิธีสื่อสารที่แปลกใหม่จากเดิม เพื่อให้เป็นที่พูดถึงของผู้บริโภคนั่นเอง
ติดตามข่าวสารของเราได้ทาง DIGITORY